ค้นหาตัวเอง จิตวิทยา


9
ค้นหาตัวเอง จิตวิทยา

การ ค้นหาตัวเอง คือ การที่เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เราคือใคร ต้องการอะไร ทำไมต้องการสิ่งนั้น เราจะเลือกได้ยังไง ว่าเราจะทำอะไรต่อไป ไปไหนต่อดี ถ้าตามคนอื่นไป แล้วนั่นคือ ชีวิตใคร? ตามเขาไปไม่ใช่ชีวิตเรา ค้นหาตัวเอง ยังไง

เริ่มจากคำถามว่าเราคือใคร WHO?

เริ่มจากตัวเองว่า เราคือใคร และทำความเข้าใจว่าเรามีความต้องการอะไรลึกๆในใจ เราถนัดอะไร เราเรียนอะไรมา พัฒนาตัวเองอย่างไร ครอบครัวของเราเป็นอย่างไร เพื่อนฝูงหรือคนรอบข้างมีนิสัยอย่างไร การหล่อหลอมของสังคมที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ จะบ่งบอกถึงการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆที่เราพบเจอ และมันจะนำพาเราไปสู่คำถามต่อไป ทำไมเราอยากทำสิ่งนั้นนั่นคือ WHY

ทำไมเราถึงอยากทำ WHY?

WHY เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะมันคือ เหตุผลที่แท้จริง ที่ขับเคลื่อนให้เราทำอะไรสักอย่าง เลือกว่าเราจะทำอะไร (WHAT)

ทำไมเราต้องเหนื่อยเพื่อมันด้วยล่ะ
ทำไมเราอยากทำ?

ใน บทความค้นหาตัวเอง นี้ ผมอยากชวนทุกคนมาคิดค้น รู้จักตัวเองมากขึ้น โดยอยากให้ตั้งคำถามแล้วตอบตัวเองไป ระหว่างนี้ผมจะเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟัง

คำตอบของมันมาจากหลายอย่าง เช่น

  • แรงขับ
  • ความเชื่อ
  • การลงมือทำ
  • ความกลัว
  • ความกล้าหาญ
  • แพสชั่น

วิธีค้นหาตัวเอง

แรงขับดัน กับ ความเชื่อ เป็นสองพลังสำคัญที่อยู่ในใจเรา การมาทำความรู้จักกับมันทำให้เราเอาพลังเหล่านี้มาเป็นกองกำลังสำคัญได้อย่างดี

Use your Drive ใช้แรงให้เป็น

แรงขับดัน ส่วนมากจะมาในรูปแบบสิ่งที่เราอยากได้ สิ่งที่เรากังวล หรือสิ่งที่เป็นเงื่นไข ไปจนถึงปัญหาชีวิตเลย

แรงขับดันในชีวิตเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า “ปัญหา” แต่ผมเรียกมันว่า “เงื่อนไข” ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันสำหรับผม

ฐานะทางบ้านของผมไม่รวย ไม่ได้ยากจนระดับสุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่สบาย แค่เคยชินกับความไม่สบายจนเป็นเรื่องปกติมากกว่า เช่น ผมอยู่บ้านไม่นอนเปิดแอร์ ซึ่งอาจจะฟังดูแปลกมากๆสำหรับคนกรุงเทพฯ แต่ด้วยความเคยชิน มันก็เลยเป็นเรื่องธรรมดา

ผมมองว่า 17 ปีที่ผมโตมาก่อนเริ่มทำงานเอง แม่ของผมทุ่มเทให้ผมสุดชีวิต ผมรู้ว่าแม่เก่ง แม่เหนื่อย แต่ไม่รู้ว่าขนาดไหน จนวันที่บ้านเราถึงวิกฤตอย่างหนัก แม่สอนเสมอว่า อย่าเอาเงินเป็นตัวตัดสินความสุขของชีวิต ก็ไม่ได้เอามาคิด แต่ภาพที่แม่ต้องแบกรับทุกอย่างคนเดียวและทำไม่ไหว เห็นแม่ล้มลงไปต่อหน้า อันนั้นคือของจริง เราไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้ว

นั่นแหละ คือตัวตัดสินความสุข ของเราในวันนั้น ความเครียด ความกังวล ความเศร้า มันแห่เข้ามาเต็ม อย่างกับคนมาดูงานฟรีคอนเสิร์ต

แต่วันนั้นก็เป็นวันเดียวกันกับที่ผมพยายามสมดุลใหม่ให้กับตัวเอง โดยการพยายามหาทางจัดการเงื่อนไข ปัญหา และสถานการณ์เหล่านั้น เปลี่ยนพลังลบ ให้รวบรวมอยู่ในรูปของ แรงขับดัน หรือ Drive นั่นเอง

ค้นหาตัวเอง

ผมคิดว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว และต้องทำให้ได้ ที่จะไม่ต้องให้แม่ลำบากคนเดียว แม่จะเหนื่อยคนเดียวไม่ไหว เราต้องช่วยให้ได้ การร้องไห้ไม่ช่วยอะไร ณ จุดนั้น การกระทำและหาทางต่อไปสำคัญที่สุด

ในอาทิตย์ต่อมา ผมเริ่ม ค้นหาตัวเอง เริ่มหางานนอก ติดต่อผ่านรุ่นพี่ อาจารย์ ผมพยายามหาทั้งงานออกแบบ ไปจนงานโมเดลลิ่ง ทุกอย่างที่ทำให้เรามีรายได้อย่างสุจริต และไม่ทำลาย ความเชื่อ ของตัวเอง

ผมคิดว่า จุดนี้สำคัญมากนะครับ ที่เราจะเลือกตั้งใจฟังเสียงตัวเอง ค้นหาตัวเอง รู้จักตัวเอง และเข้าใจว่าเราคิดยังไงมากน้อยแค่ไหน

บางที สิ่งที่เป็นปัญหา ที่พลังมันอาจจะเป็นด้านลบ แต่ถ้าเราเอามาแปลงเป็นพลังงานดีๆ พลังงานบวก ที่ผลักดันเราได้ เชื่อมั้ย….

ชีวิตจะดีกว่าเดิมเยอะ !

BELIEF

ความเชื่อ คือ สิ่งที่เราศรัทธา สิ่งที่เรายึดมั่นไว้ สิ่งที่เราไม่อยากละทิ้งมัน คือ พื้นฐานความคิด แนวทางของการใช้ชีวิต บางทีความเชื่อนี่แหละ จะเป็นตัวช่วยตัดสินใจ

ความเชื่อนำทาง

ถ้าผมตามแต่แรงขับ อาจจะหลับหูหลับตาทำอะไรผิดทาง เพื่อแค่ให้ทำมันออกมาได้ แต่ความเชื่อจะช่วยส่งผลต่อการตัดสินใจในชีวิตให้เราเลือกทางที่เราจะไม่มาผิดหวังต่อตัวเองทีหลัง

ในวันที่เรารู้สึกเคว้ง วันที่ปัญหา อุปสรรค มันมารวมตัวกัน แล้วเราไปเปลี่ยนมันไม่ได้เพราะมันเหนือการควบคุม

หน้าตาของความเชื่อในชีวิตจริง

การตัดสินใจที่สำคัญในชีวิต โดยส่วนตัวชีวิตผมเองนั้น เจ้าตัว ความเชื่อ นี่แหละที่เป็นตัวช่วยตัวใหญ่ในการตัดสินใจและนำทาง จนผมได้ยืน ได้ทำในสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้

ผมขอเลือกความเชื่อเวอร์ชั่นของผมให้คุณฟัง 3 ข้อครับ

BELIEF 1 เชื่อในทางที่เดินได้อย่างภาคภูมิใจ

ความภาคภูมิใจนี้ ผมหมายถึงการกระทำของเราที่เลือกทำ ที่เราสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ โดยที่เราไม่มาผิดหวังในตัวเองทีหลัง อย่างเช่น การทำสิ่งที่ทุจริต ขี้โกง โกหก

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย สมัยนั้นผมได้ยินเรื่องงานนอกระบบที่ชอบมาจ้างเด็กหัวกะทีไป ยิงข้อสอบ ซึ่งก็มีคนใกล้ตัวหลายคนไปทำและมาเล่าให้ฟัง แถมยังชวนให้ไปทำด้วย!

ผมก็ต้องตกใจกับรายละเอียดที่ว่ารายได้วันเดียว 15,000 บาท นี่มันเป็นจำนวนเงินที่ผมต้องอดนอนหลายคืนเป็นเดือนเพื่อแลกมา ผมทำไงน่ะเหรอ? ปฏิเสธ ทันทีครับ

ตอนนั้นมันทำให้ผมนึกถึงกลอนสมัยเรียนที่สอนใจว่า อยู่ยังไงก็ได้ อย่าให้เสียศักดิ์ศรี และไปทำร้ายคนอื่น มันเป็นความเชื่อในใจเรา เราต้องไม่ไปทำลายความเชื่อนั้น

ตอนนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ก็ไปร่วมงานนี้ทั้งที่ที่บ้านก็มีฐานะ การหาเงินก้อนแรกได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่ มันช่างน่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขา อย่างที่คำเตือนของเราก็ไม่เข้าหู

10 ปีต่อมา เพื่อนคนนี้มาคุยกับเราอีกที เขาต่อว่าคนในกลุ่มอาชีพนั้น ที่เขาไปยิงข้อสอบให้เมื่อ 10 ปีก่อน ผมนึกได้ อ้าว เราก็เตือนนายแล้วนี่ตั้งแต่ตอนนั้น ก็นายเองนี่ ที่ให้โอกาสและสนับสนุนเขามาทำลายสังคม

เพื่อนตอบมาสั้นๆว่า ก็ตอนนั้น เรายังเด็ก ซึ่งผมคิดเพียงว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง

เพื่อนวันนั้น เชื่อในโอกาส แต่ผมวันนั้น เชื่อในความสุจริต ถึงวันนี้ไม่เสียใจเลย ที่ไม่ได้เงิน เพราะความภาคภูมิใจในชีวิตเรามันแพงกว่านั้น

ผมอยากเดินบนถนน ด้วยความรู้สึกไม่ต้องหลบซ่อน ก้มหลบตาใคร

ความรู้สึกไม่ต้องหลบซ่อน

ผมอยากทำอะไรที่เราซื่อตรง และสามารถมองตากับใครได้อย่างจริงใจ ว่าเราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี

BELIEF 2 เชื่อ ในการไม่ตัดสิน

You’ve never been judged. Every minute is a chance.

เรายังมีโอกาส ถ้าเราไม่ฟันธงตัดสินตนเองก่อนว่าทำไม่ได้แล้ว ทุกวินาทีคือโอกาส เราเลือกเองว่าจะเอาวินาทีนั้นไปใช้ทำอะไร คำคำนี้ เป็นคำที่ผมเชื่อ และพูดซ้ำกับตัวเองอยู่เสมอ

ช่วงนั้น สมัยเรียนมหาวิทยาลัย งานวิศวะหนักมากก็เรื่องหนึ่ง บวกกับปัญหาเรื่องอื่นที่เข้ามา ทำให้เราเริ่มสงสัยกับตัวเองว่า มันจะไหวเหรอ

แต่แล้วความเชื่อที่ว่า เรายังมีโอกาส เข้ามาเตือนใจ

วันนี้เราต้องใช้โอกาสที่มีให้คุ้มค่าที่สุด พอคืดแล้ว แทบไม่อยากนอน เพราะไม่อยากเสียใจที่ใช้เวลากับการแก้โจทย์ที่ไม่คุ้มค่า

สุดท้าย ผมก็ทำต่อ อาการทรมานใจแบบนี้ ผมเจอแทบทุกครั้ง ในการทำงานตอนเรียนวิศวะ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอนผม และย้ำความเชื่อของผมว่า

BELIEF 3 ความดี คนดี แน่นอนที่สุด

ตอนผมเริ่มทำงานโรงงานใหม่ๆ จ้างลูกน้องมาไม่เพียงกี่คน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และยังดันเป็นครอบครัวเดียวกันอีก วันหนึ่งคนงานทะเลาะกันเอง เกิดปัญหาที่ฝังรากลึก ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ จึงยกพวกไสตรค์ลาออกกลางคัน ช่วงไฮซีซั่นพอดี

ช่วงนั้นผมวิตกกังวลมาก เครียดมาก เพราะงานต้องดำเนินต่อไป หยุดไม่ได้ หากหยุด ก็จะเสียลูกค้า เสียโอกาสไป ผมจึงต้องลงมือทำงานเองกับลูกน้องอีกเพียงหยิบมือ แต่เราก็ยังเชื่อว่า เราต้องผ่านจุดนี้ไปให้ได้ มันเป็นบททดสอบที่สำคัญของชีวิต

ในที่สุด ความเมตตา ความกล้า ความเสียสละ และ ความรู้ ก็ได้พาผมผ่านช่วงวิกฤติมาได้ พอได้คุยกับคนอื่น เขาก็บอกว่านี่แหละ ทำในสิ่งที่ เชื่อ ก็จะประสบความสำเร็จได้

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเชื่อในความดีของคนที่มึคุณธรรม และเราจะใช้ชีวิตต่อไปบนการทำดี มีเมตตาต่อผู้อื่น

เราอาจจะมีโอกาสเป็นเหยื่อ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เราต้องหยุดทำดี หรือเลิกเชื่อในความดี

นี่คือความเชื่อของผม

แล้วคุณล่ะ เชื่อ อะไร

การลงมือทำ

ACTIVITIES

มองภาพสะท้อนจากความชอบ สู่สิ่งที่ลงมือทำ จะทำให้เรารู้จักตัวเรา ดียิ่งขึ้น

การที่ผมเลือกเดินทางที่ทำอยู่ทุกวันนี้ จริงๆไม่ใช่สิ่งใหม่ 100% หรือคิดได้ แบบไม่เคยมีในตัวเองมาก่อน

แต่เป็นหลายสิ่ง หลายความชอบที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ตั้งแต่เล็กจนโต ที่จำได้ ที่ลืมไป ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมมาตั้งหลัก เปลี่ยนเส้น ปรับเข็มทิศ มันก็จะกลับมาเริ่มจากสิ่งที่มีในตัวเองเสมอ เพราะเราเป็นพาหนะที่จะพาเราไปข้างหน้า เราต้องเข้าใจตัวเราเอง

สมมติเรามีขวดโหลอยู่ 6 อัน

สิ่งที่เราชอบทำ สิ่งที่เราคิดว่าง่าย สิ่งที่แอบอยากทำ

สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งเราคิดว่ายาก และสิ่งที่กลัว

ลองนึกดูดีๆว่าเรามีไอเดีย หรือกิจกรรมอะไร เขียนใส่กระดาษแยกไปหยอดเลย ทั้งหมดมันเป็นเราหมดแหละ อยู่ที่เราเคยคิดถึงมันอย่างจริงจังหรือเปล่า เหมือนจะไม่มีอะไร เป็นเกมเด็กๆ แต่ง่ายๆ แบบนี้แหละ มีประโยชน์มาก

เริ่มจากสิ่งที่ชอบ ที่ใจบอกว่าใช่

ผมมารู้ Keyword ของตัวเองว่าเป็นคน ชอบสร้าง ก็ตอนที่เริ่มทำอะไรซ้ำๆหลายครั้งจนโตมาเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละครับ แต่ก่อนหน้านี้มันแยกออกไปเป็นการสร้างหลายแบบ เช่น การวาดรูป ต่อของ เล่นดนตรี หรือทำอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

ชอบสร้าง และ ชอบเห็นมันเสร็จด้วย มันเลยเป็น 2 คำ

Create & Execute

คำว่า Execute ที่ใช้เป็นนาม คือ Execution ไม่ได้แปลว่าการประหารชีวิต แต่มันคือ การลงมือทำให้เป็นผลสำเร็จ หรือการทำงานให้เสร็จนั่นเอง คือ ผมชอบตอนวาดรูป และชอบตอนวาดเสร็จ สวยหรือเปล่าไม่รู้ แต่พอกลับไปดู เออ ทำเสร็จ

ถามว่า สิ่งนี้มันมีประโยชน์อะไรไหม
มีสิ ยิ่งใหญ่มากในชีวิตผมเลยทีเดียว

เพราะเริ่มอะไรแล้ว ต้องทำให้เสร็จ ทำให้ถึง ทำให้จบ ไม่ใช่หมายถึงการวาดภาพอย่างเดียว แต่รวมถึงการทำงานด้วย มันเลยกลายเป็น Personality ของผมไป

สิ่งที่มันง่าย ทำได้

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ แต่มันอาจจะมีประโยชน์กับเราในอนาคต อย่างเช่น การสื่อสารภาษาอังกฤษ

ผมว่าผมทำได้ มันไม่ยากเกินไปสำหรับผม ผมไม่มีประสบการณ์น่าสะพรึงกลัวกับภาษา แม่ไม่ได้บังคับเรียน แต่เอาเพลงมาร้องกันตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ในการ เบิกทาง เปิดเส้นทางใหม่ๆอย่างเอาตัวเองไปทำงานกับคนต่างชาติที่ต้องใช้ภาษาจนพาผมไปฝึกงานที่สิงคโปร์ ทำ Workshop หรือ ทำงานอเมริกาในเวลาต่อมาได้

การอดหลับอดนอน จัดเป็นความสามารถพิเศษที่ไม่พิเศษตั้งแต่สมัยเรียน

ผมเคยอดนอนได้ 2 วันชิลๆ 3 วันแบบเริ่มเบลอๆ แต่ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้ชอบอดนอนนะครับ แต่เพราะว่าเรามีความอดทนสูง ผมคิดว่ามันทำให้เรามีเวลาในการทำงานเพิ่ม งานเรียนเสร็จก็ทำงานนอกต่อ ทำงานนอกเสร็จก็อ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติม

อดนอน มีความถึก อาจจะฟังดูธรรมดา แต่มันก็มีผลต่อชีวิตเรานะ ผมว่าคุณสมบัตินี้แหละที่ทำให้ผมอดทน พัฒนาตัวเอง จนดึงเกรดตัวเอง และพัฒนาฝีมือในการออกแบบการทำงานได้

สิ่งที่แอบอยากทำ

ผมก็มีชั่วโมงแอบหวัง จดใส่กระดาษ ก็จะเขียนโยนใส่ขวดโหลดอีกใบที่เรียกว่า Wish list แต่ไม่ได้เอาไปลอยน้ำนะ เก็บไว้เตือนใจ

พอเริ่มดึง Keyword อื่นๆ ของสิ่งที่ชอบทำออกมาก็ทำให้พบว่า เราจะเลือกอะไรต่อไปให้ไม่อกห่างจากสิ่งที่เราชอบมากเกินไป ตราบใดที่เรายังมีทางเลือกอยู่

เขียนสิ่งที่ไม่ชอบ

เพราะถ้าเป็นไปได้ จะได้รู้ว่าเราเลี่ยงมันได้ไหม หรือต้องอยู่กับมันห้ได้ มันาจจะมีโอกาสดีๆซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราไม่ชอบก็ได้นะ

เขียนสิ่งที่ยากสำหรับเรา

อะไรที่ทำแล้วมันไม่ค่อยถนัดเอาซะเลย นี่ก็อาจจะเป็นจุดอ่อนที่สำคัญก็ได้ เอาไว้พัฒนาตัวเองในอนาคต

ความกลัว

สุดท้ายคือ สิ่งที่กลัว ยิ่งต้องใส่ใจ เพราะมันอยู่ในใจเรา และอาจจะแอบบงการชีวิตเราอยู่โดยเราไม่ทันรู้ตัว

ลองเอาทุกอย่างออกมา เขียนใส่กระดาษ แล้วโยนใส่แต่ละขวดโหล แยกกันไปตามแต่ละหัวข้อมัน เข้าใจตัวเองให้หมด อย่างเป็นกลาง ทั้งด้านที่เราให้คะแนนบวก และ ด้านที่เราติดลบกับมัน เพราะสุดท้าย เราเอามันมาใช้วางแผน เชื่อมต่อเส้นทางชีวิตเรา จากจุดเหล่านั้นได้ทั้งนั้น รู้จักตัวเอง

ความกลัว FEAR

FACE YOUR FEAR

จ้องหน้า กับความกลัว

ความกลัวก็เป็นอีกส่วนในตัวเราที่เราต้องทำความรู้จัก อย่าได้มองข้ามไปเพราะมันมีบทบาทกับเรามากแม้เราจะไใ่ตั้งใจนึกถึงมัน

ความกลัวของผม ไม่ใช่กลัวผี กลัวสัตว์ กลัวคน กลัวการตัดสินจากคนอื่น กลัวความสูง แต่กลับเป็นการกลัวทำหน้าที่เราได้ไม่ดี กลัวทำให้คนที่เรารักผิดหวัง

ความกลัวแบบที่ผมมี เป็นความกลัวแบบที่ผลักดันเราไปข้างหน้า มันทำหน้าที่เป็น แรงขับ หรือ Drive ให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง

เช่น ผมมีภาพที่ไม่อยากจะเห็นอีกแล้ว

ถ้าจะให้ง่ายที่สุด ตอนนั้นก็คงเป็นการใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ที่ต้องทำแล้วไม่สนใจว่า อะไรจะเกิดขึ้น แต่เวลาที่ผมกังวลอะไรสักอย่าง เราหนีมันไปเท่าไร ทำเป็นมองไม่เห็น สุดท้าย หนีไปเท่าไหร มันก็ยังอยู่ที่เดิม เราต้องอยู่กับมันต่อไป

จะรอเทวดามาโปรด ดวงดีถูกหวย ก็ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ รอใครไม่ได้ แปลว่า สิ่งที่พึ่งพาได้ ไม่มีใคร นอกจากสองมือเราเอง

ภาวะจุดเปลี่ยนของคนมีความสุขคนหนึ่งที่มีครอบครัวจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าข้าว ค่ากินอยู่ ไม่ได้หรูหรา แต่ไม่ได้อดมื้อกินมื้อ สู่การเปลี่ยนแปลงทางความเป็นอยู่ การเงิน ไปจนค่าเล่าเรียน ที่เริ่มต้องเรียนให้ดีพอ ให้คณะไม่มายกเลิก ทุนขาดแคลน ไปเวลาเกรดตก

ภาวะความกลัวตอนนั้น ผมเลยเอามันมาเป็นแรงผลักดันว่าเราจะต้องออกไปจากภาวะนี้ให้ได้ ไม่งั้นจะต้องอยู่กับมันไปจนตายกันไปข้างหนึ่ง

ถ้างั้นวันนี้แหละ ที่ผมจะ เผชิญหน้า และ พุ่งชน กับมัน

จากนั้นผมเลยวิ่งหางานพิเศษจากอาจารย์ จากรุ่นพี่ ปากต่อปาก จากน้อยคนมากจนรับไม่ไหว ไม่แค่งานออกแบบ ผมมีขายของออนไลน์ที่ตอนนั้นคนไม่ค่อยขายกันเยอะมากนัก เลยพอทำได้บ้างนิดหน่อย

เข้าใจชีวิตเงินหมุน เงินเดือนชยเดือน และเงินไม่พอใช้อย่างดี

แต่ว่าการที่ผมลุกมาหางานนอกทำให้อย่างน้อยแบ่งเบาภาระของแม่ไปได้ทีละนิด แม้ว่าผมตอนปี 2-4 ทำงานนอกเท่าไรก็ยังไม่สามารถหาเงินจ่ายค่าบ้านได้ทั้งหมดอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็พอหาเงิรค่าอุปกรณ์การเรียนที่ราคาพอกับค่าเทอมไปได้

ความกลัว ทุเลาเห็นว่าพอมีทาง แต่ที่ต้องทำคือว่า เรียนจบต้องทำงานหาเลี้ยงชีพให้เพียงพอ จนเป็นเสาหลักคนเดียวของบ้าน ต้องทำให้ได้

ผมเลยขยันมากๆ ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานมากๆ เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าเราไม่ได้พลาดโอกาสอะไรในการใช้เวลาตอนนั้น ไม่ต้องมาผิดหวังในตัวเองว่า เอาเวลาไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เอาเวลาไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา จนเรียนจบ เริ่มทำงาน ผมถึงเริ่มดูแลค่าใช้จ่ายในบ้านได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอไปจนถึงหนีสินติดค้างมาแต่ไหนแต่ไร

สุดท้ายผมเป็นเสาหลักของบ้านคนเดียวได้จริงๆ ก็ตอนที่บินมาทำงานที่อเมริกาได้สัก 1 ปี แต่ก็ยังดี ที่ผมได้เริ่มต่อสู้กับความกลัว ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าไม่เริ่ม ก็ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต

Face your fear because it will dictate your whole life
เผชิญหน้ากับความกลัวก่อนที่มันจะมาบงการเราทั้งชีวิต

จุดแข็ง และ พรสวรรค์ STRENGTHS & TALENTS

ดูคนนั้นสิ เขาเก่งมาก เขามีพรสวรรค์จริงๆนะ

ผมได้ยินคำพูดนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว กับคำชมที่ว่า พรวรรค์ (Talent) บ้างก็เรียกเหมารวมไปว่ามี กิฟต์ (Gift) บ้างล่ะ

หลายทีก็สงสัยนะ ว่าตัวเองมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่มี เพราะถ้ามี รู้สึกมันช่างดูได้เปรียบ ชีวิตดูไฮโซขึ้นมายังไงยังงั้น แต่ก่อนที่จะคิดว่ามีไม่มี

พรสวรรค์ คือ อะไร

พรสวรค์ คือ การที่เราสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ คล่อง ไม่ติดขัด แต่ไม่ได้แปลว่าต้องมีตั้งแต่กำเนิดแต่อย่างใด หมายความว่า ไม่มีแต่แรก ไม่ได้แปลว่าหมดอนาคต ไม่ต้องเสียใจ ตอนนี้เรามา คิด และค้นหา เรื่องที่เราทำได้ดีกว่า

เราทำอะไรได้บ้าง

ถ้าพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องฝืน มาลองดูในชีวิตประจำวัน หรือวาร์ปตัวเองย้อนอดีตกลับไปมองดู ว่ามีอะไรที่เราทำได้ เคยทำได้ เคยมีคนบอกว่าทำได้บ้าง

พอผมเริ่มคิด มันก็มีหน้าตาที่หลากหลายนะ บางคน เล่นกีฬาเก่ง เริ่มหัดเล่นอะไรครั้งเดียวก็ทำได้เลย ในขณะที่ให้ผมเล่น หมดเทอมยังไม่ได้เลย ทักษะกีฬาต่ำมาก

แต่ ดนตรี เป็นสิ่งที่ผมไม่รู้สึกลำบากใจในการทำมันเลย สนุกด้วยซ้ำ

ตอนประถม ผมได้เรียนทั้งดนตรีไทย และ ดนตรีสากล พบว่าไปหยิบจับอะไรครั้งแรกๆ ก็ดูจะ ท่าดี ไปซะหมด จนแม่และอาจารย์บอกว่า เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์

วาร์ปข้ามมา 10 ปี หลางจากนั้นอายุ 17 ปี โตขึ้นแล้วแต่อายุของพรสวรรค์ในดนตรีอของผมยังกเลับเท่าเด็ก 7 ขวบ มันไม่ได้กลายมาเป็นจุดแข็งของผมเลยสักิด ยังเล่นชิลๆตามอารมณ์เหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ย้อนกลับมาหาตัวเอง คิดผิดซะแล้ว ที่แอบหลงตัวเอง อย่างเพื่อนคนที่เริ่มแค่ปีเดียว และ ฝึกฝน ทุกวันกลับเก่งกว่าเราที่เริ่มตอนเด็กเสียอีก

ฝึก คำนี้สินะที่เราขาดไป

พรสวรรค์

ผมเลยเริ่มสำนึกว่า มีพรสวรรค์ไป ถ้าไม่ทำอะไรกับมัน ก็จะขนาดเท่าเดิม และไม่มีทางโตเป็นจุดแข็งของเราได้ เพราะมันไม่ได้สามารถโตเองตามธรรมชาติ หรือตามอายุเราแต่อย่างใด

เราขาดอะไรไป

ขาดการลงทุนเวลา ลงแรง ลงใจ ทุ่มเทให้กับการเล่นดนตรี เพื่อที่จะพัฒนาจุดเล็กๆ จุดเริ่มที่ดีให้มันโตขึ้น แข็งแรงจนกลายเป็นจุดแข็ง ผมมองว่า มันเหมือนต้นทุน เงินก้อนแรกในกระเป๋า อยู่ที่เราจะเอาไปเก็บไว้หรือเอาไปลงทุนต่อเพื่อให้มันงอกเงย

แต่ก็ยังโชคดีที่ผมไม่ได้ทิ้งต้นทุนทั้งหมดในชีวิตไป มีอีกสิ่งที่ผมทำได้เป็นธรรมชาติสุดๆ ตอนเด็กๆ ยิ่งกว่าการเล่นดนตรีและผมไม่เบื่อที่จะไปเรียน มันคือ การวาดรูป

ตอน ม.ต้น คิดเลยว่าต้องวาดให้เก่งขึ้นให้ได้ อยากเห็นตัวเองวาดดีกว่าเมื่อก่อน ฝึกสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเองแต่อย่างใด ทำเพราะชอบ จนโตมาการวาดและศิลปะเป็นจุดแข็งของผมได้ระดับที่เอามาฝึกต่อเพื่อสอบความถนัด และพอจะทำให้เอาตัวรอดเข้ามาเรียนได้

นั่นแหละครับ พรสวรรค์ มันต้องได้รับการลงแรง ฝึกฝน ถึงจะ พัฒนาตัวเอง เป็นจุดแข็งได้

มีอะไรซ่อนอยู่ในกระเป๋า

ถ้านึกไม่ออกว่ามีอะไรเป็น พรสวรรค์ ทำได้สบายๆเป็นธรรมชาติ แล้วจะไม่มีจุดแข็งของตัวเองเลยเหรอ

ไม่หรอกครับ จริงๆมันยังมีอีก มาเปิดดูกระเป๋าของคุณดีกว่าว่ามีอะไรซ่อนอยู่

พรสวรรค์ ไม่ใช่ต้นทุนแบบเดียวเ่านั้น แต่อาวุธคู่มือที่เราเอาไปใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง ทักษะและความรู้ที่คุณมีนั่นแหละ ต้นทุนทั้งนั้น

ทักษะ Skills

สิ่งที่คุณมีฝีมือ มีความถนัดในการทำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ การพูด การเขียน การใช้ภาษา การขาย การเล่นกีฬา การสื่อสาร สารพัดจะทักษะ ตั้งแต่ทักษะทั่วไปจนถึงทักษะเฉพาะทาง ถ้าไม่พัฒนาต่อ มันก็อยู่เท่าที่มีระดับพอใช้ บ้านๆ แต่เอาเป็นจุดแข็งไม่ได้

เลือกนิสัย มาใช้เป็นพลัง

ความรู้ Knowledge

ก็เช่นกัน ตั้งแต่ความรู้ทั่วไปจนความรู้เฉพาะทางทั้งหมด เราปั้นมันเป็นจุดแข็งเราได้หมด

เห็นไหมว่า ไม่ได้หมดหวังสักหน่อย

พรสวรรค์ ทักษะ และความรู้

3 สิ่งนี้ ต้องการกระบวนการฝึกฝน ลงแรง เพื่อจะทำให้มัยนเติบโต จนกลายเป็นจุดแข็ง ถ้าขาดอันใดอันหนึงไป ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีจุดแข็ง ก็เริ่มจากสิ่งที่คุณมีในกระเป๋า และลงทุนลงแรง พัฒนามันให้โตจนเป็นจุดแข็งให้ได้ครับ

ถ้าไม่มีก็ยอมรับว่ไม่มี ถ้ามีก็รีบหาทางใช้มันต่อให้งอกเงยเกิดประโยชน์

เริ่มเห็นทางแล้วนะ ว่าเราพอมีทางที่จะดึงศักยภาพบางอย่างของเราทำให้เป็นจุดแข็งได้

หาจุดแข็ง ในตัวคุณ Find your Strengths

เลือกนิสัย มาใช้เป็นพลัง

หน้าตาของจุดแข็งสำหรับแต่ละคนแตกต่างกันไป คนเราไมจำเป็นต้องเหมือนกัน เก่งเหมือนกัน ถึงจะเก่งหรือประสบความสำเร็จ

ลองนึกถึงนิสัยที่คุณสามารถทำได้โดยธรรมชาติ ไม่ลำบากใจ จากคุณสมบัติเชิง บุคลิกภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้คือ Talent ที่คุณมีที่เป็นจุดแข็งของคุณได้เช่นกัน

อย่าคิดว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเป็น แปลว่าสิ่งนั้นเป็นจุดอ่อนไปเสียหมด เราอาจจะทำให้สิ่งนั้น เช่น หากเราเป็นคนที่ชอบแสดงออก ชอบสร้างไอเดีย แต่ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องการให้เราทำ ไม่ต้องพูด สิ่งที่เราเป็นอาจจะเหมือนกัเป็นจุดอ่อนในที่แห่งนั้น แต่มันไม่ใช่สิ่งไม่ไดี มันอาจเป็นจุดแข็งในอีกที่หนึ่งก็ได้ ถ้าเอาจุดนั้นมาเป็นสถาปนิก ดีไซเนอร์ โฆษณา ก็ได้ เยอะแยะไป

สิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการในที่ที่หนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่อีกแห่งหนึ่ง กำลังมองหาก็ได้ ผมเลยมองว่า รู้จักตัวเองให้ดี แล้วเราจะได้เอาจุดแข็งไปใช้ยังไง

แม้คนอื่นจะปฏิเสธเรา เราอย่าปฏิเสธตัวเอง มันมีที่ของ แต่เราอาจจะยังหาไม่เจอ หาจตัวเองให้เจอแล้วยอมรับ เราจะได้เดินไปหาที่ที่เหมาะกับเราได้

แพสชั่น PASSION

เราจะทำสิ่งนี้ไปทำไม จริงๆคำตอบที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นคำตอบสุดท้าย คือ PASSION นี่แหละ

แพสชั่น เป็นกุญแจสำคัญในการ ค้นหาตัวเอง แล้วก้าวสู่การค้นพบเป้าหมายที่เราอยากจะไปหา แต่แพสชั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เราเลือกจะทำอะไร

การที่มี แพสชั่น มันทำห้เราทำสิ่งนั้นได้ดี และเป็นเชื้อเพลิงที่เยี่ยมยอดที่จะผลักเราไปข้างหนา ถ้ามี แพสชั่น ยังไงก็ได้เปรียบอยู่แล้ว

ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรืสายเกินไปสำหรับการเริ่ม ค้นหาตัวเอง

และค้นพบ แพสชั่น ที่อาจจะตื่นขึ้นจากการคิด หรือไปเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆก็ได้ เราไม่รู้หรอกว่ามันจะหน้าตาเป็นยังไง ถ้าเราไม่ลองหามัน สังเกตสิ่งที่ชอบทำ สิ่งที่อยากทำ ถ้าเจอสิ่งที่ใจเรียกร้อง อยากจะรู้จักมันมากขึ้น ลองให้เวลากับมัน ศึกษามัน ถ้ามันคือสิ่งที่เราหลงใหล ชื่นชอบจริงๆ และอยากกลับมาหามันครั้งแล้วครั้งเล่า

เจอ แพสชั่น ดันให้สุด

ถ้าเจอสิ่งที่ใช่ อยากให้เวลากับมัน มันคือ แพสชั่น ของเรา อย่าปล่อยมันไว้แบบนั้น ทำมันให้เต็มที่ ใส่ใจ ให้เวลา และทำให้ผลผลิตของมันออกมาให้ได้เต็มที่ อย่าทำครึ่งๆกลางๆ แบบ ก็ชอบนะ หระมาณนี้แล้วกัน แต่ต้องตั้งใจเอาให้สุด

ที่ผมบอกว่า ถ้าชอบให้ลุย ไม่ว่าจะเอามันเป็นอาชีพหลักหรือไม่ก็ตาม จงยอมรับกับตัวเองและให้เวลากับมัน เพราะสิ่งที่เรามี แพสชั่น เราจะทำมันได้ยาว และได้ดี และมีพลังกว่าสิ่งอื่น เพราะใจเราอยู่กับมัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูธรรมดา ไร้สาระ หรือไม่น่าสนใจในสายตาใครหลายคน

แต่ถ้าสิ่งนั้น คือสิ่งที่เราชอบจริงๆ ไม่เห็นต้องรอให้ใครมาบอกคุณว่าคุณค่ามันมีเท่าไร อย่าให้ใครมาตัดสินว่า แพสชั่น เหล่านั้นไม่ใช่ของดี ถ้าเราชอบ มันจะดีหรือไม่ดี แพสชั่นก็คือ แพสชั่น นั่นแหละ

มี แพสชั่น แหลว่าเราได้เปรียบ อย่าทิ้งโอกาสนี้ไป ทุ่มเทให้มันอย่างเต็มที่

DISCOVER YOUR ENVIRONMENT
ค้นหา สิ่งรอบตัว

อะไร คือ Passion ของเรา

บางทีคำใบ้ และลายแทง ก็แอบอยู่ในชีวิตประจำวัน ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา

นอกจากรู้จักตัวเองแล้ว การเรียนรู้สิ่งรอบตัว สิ่งแวดล้อม คน และแหล่งกิจกรรม ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไร และจะเลือกเป้าหมายต่อไปอย่างไร

สิ่งรอบตัวมีส่วนช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ไปจนจุดประกายความฝัน และ Passion ของเรา

1. สังเกตเขา Look Out

เริ่มจากทำความเข้าใจกับสิ่งรอบตัว สิ่งแวดล้อมที่ผมพูดถึง ผมไม่ได้หมายถึง ธรรมชาติ สวนสีเขียว แต่มันหมายถึง ทกอย่างที่เราสัมผัสได้รอบๆตัวเา ตั้งแต่ สังคม พื้นที่พบปะ โรงเรียน ที่ทำงาน สถานที่ต่างๆ ผู้คน ไปจนถึงบรรยากาศ ยิ่งถ้ามีโอกาสไปในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่สนุกและน่าค้นหาเข้าไปใหญ่

2. ถามใจเรา Look in

หลังจากสังเกตสิ่งที่มีรอบตัวแล้วอย่าลืมกลับมาถามตัวเอง ว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งรอบตัว และสิ่งไหนเปนสิ่งที่เราสนใจกว่าสิ่งอื่น มีอะไรที่เราอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ ในสิ่งเหล่านั้น มีอะไรที่เราไม่กล้าทำ แต่ก็แอบสนใจลึกๆ อยู่ตรงมุมนั้นหรือเปล่า สังเกตความคิด ความเห็นของตัวเอง ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม กิจกรรม

ผมเจอความฝันจากสิ่งแวดล้อมที่เห็นแล้วเอามาคิดต่อว่าเราจะถอดรหัสมันยังไง และเมื่อเรารู้จักตัวเองแลว เราจะเอามันมาเชื่อมต่อกับชีวิตเราอย่างไร

ใส่ใจสิ่งรอบๆตัวเราให้ดี บางทีโอกาส แพสชั่น หรือความฝันใหม่ๆ อาจจะแอบซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบคำใบ้ที่รอให้เราไปค้นพบมัน อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา หรือที่ไกลออกไปก็ได้ เรานี่แหละจะต้องไปค้นหามัน

บางทีเราจะพบไอเดียใหม่ๆ ที่ใครก็มาบอกเราไม่ได้ เพราะคำใบ้นั้น มันอาจจะซ่อนเอาไว้ห้เรา และเราคนเดียวที่จะถอดรหัสมันออกมาได้

เราไปที่ใหม่ๆ เราก็เจอคนใหม่ๆ

เลือกไปที่ดีๆ เราก็เจอคนดีๆ

เรายังเติมแผนที่ชีวิต ค้นหาตัวเอง ได้ไม่มีที่สิ้นสุด


Like it? Share with your friends!

9

Comments

comments

Slot Gacor Maxwin

Slot Gacor Gampang Menang

Slot Gacor

Sbobet Mobile