เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ แอน ทำงานมา 5 ปี ได้เงินเดือน 35,000 บาท หัวหน้ารักเธอมาก งานเลยเข้าเธอเสมอ เพราะหัวหน้าไว้ใจ (แน่นอนครับ โลกของเราเป็นแบบนี้ ทำได้ดี ก็ต้องทำเยอะต่อไป) เธอได้เป็นตัวแทนไปอบรมเทรนนิ่ง อัพเดตความรู้ skills ใหม่ๆ ที่บริษัทจัดหามาให้อยู่เสมอ แต่เงินเดือนขึ้นแค่ปีละ 3-5% เท่านั้นเอง
อยู่มาวันหนึ่งแอนได้รับการทาบทามจากบริษัทแห่งหนึ่ง เสนอเงินเดือน 50,000 บาท ยังไม่รวมค่าสวัสดิการต่างๆ ที่มองยังไงก็ดีกว่าที่ทำอยู่ปัจจุบัน แต่แอนได้ข่าวมาว่า บริษัทนี้ Turn over สูง คนเข้าออกตลอดเวลา เรียกว่าใช้งานคุ้ม แอนเครียดมาก เพราะถ้าทำที่เดิมต่อไป กว่าเงินเดือนจะถึง 50,000 บาท คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี
ถ้าคุนเป็นแอน จะเลือกอะไร? ระหว่าง Comfort Zone ที่เราเป็นดาวดังอยู่ หรือ กระโดดคว้าเงิน แล้วไปลุ้นเอาดาบหน้า
ผมมั่นใจว่าปัจจัยอันดับต้นๆของทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน ทำงานก็ต้องได้รับค่าตอบแทน งานไม่ใช่การกุศล ที่หยาดเหงื่อไหลรินทุกวันนี้ ก็ต้องได้รับค่าเหนื่อยที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย หลายคนอาจคิดว่างานที่เงินดีคือโอเคแล้ว
แต่ในบางครั้งก็จะมีข้อแย้งว่า เราควรมองความก้าวหน้าในอาชีพการงานไว้ด้วย ไม่ใช่จะมองแต่รายได้ที่ได้รับภายในวันนี้ แต่ 5 ปีผ่านไปก็ยังทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่ได้พัฒนาไปไหน ทักษะเดิมๆ เงินเดือนเท่าเดิม เพิ่มเติมด้วยความรับผิดชอบมากขึ้น เลยเป็นที่สงสัยในใจหลายๆคนว่า เราจะให้น้ำหนักอะไรเป็นสิ่งสำคัญดีระหว่างเงินเดือน กับ ความก้าวหน้า
ปัจจัยในการพิจารณาของแต่ละคนแตกต่างกันไป ลองมาสำรวจตัวเอจากหัวข้อเหล่านี้กันครับ
1.เป้าหมายในชีวิต
แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีเส้นทางการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไปด้วย หลายคนมองแค่ความสุขในวันนี้ ถ้าเจอเงินเดือนที่เยอะกว่ารีบคว้าไว้เลย อย่าไปคาดหวังความก้าวหน้าในวันหน้า ไม่ก้าวหน้าแต่ได้เงินเยอะจะเดือดร้อนไปทำไม ฉันไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยานขนาดนั้น แต่ในขณะที่บางคนอาจมองไกลกว่านั้น คิดว่าฉันมีความทะยานอยาก หวังว่าวันหนึ่งจะก้าวไปเป็นผู้บริหารระดับสูงให้ได้ ของานที่ได้โอกาสกรุยทางไปสู่สะพานแห่งความฝัน ก่อนอื่นลองหยุดถามตัวเองสักนิดว่าเราเป็นแบบไหนกันแน่ จะได้หันทิศทางชีวิตถูกครับ
2.ความจำเป็นในการใช้เงิน
ความจำเป็นในการใช้เงินต่างกันก็มีผลให้การตัดสินใจต่างกันด้วยครับ ถ้าคุณมีฐานะดั้งเดิมที่ดีอยู่แล้ว เงินอาจไม่มีผลเท่ากับความก้าวหน้าในระยะยาว ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เงินเดือนเลี้ยงอีกหลายคนในครอบครัว ยังผลให้ต้องโฟกัสกับปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคต จึงต้องเลือกงานที่ให้ค่าตอบแทนดีเป็นสำคัญ ความก้าวหน้าใดๆ ค่อยไปว่ากันข้างหน้า ปากท้อง ณ วันนี้สำคัญกว่าเป็นไหนๆหรือว่าไม่จริง?
3.ระดับความเครียด
งานแต่ละตำแหน่ง มีระดับความเครียดที่แตกต่างกัน ถ้างานใดก็ตามที่ทำแล้วเครียดมาก แนะนำว่าอย่าไปทำ ไม่ว่างานนั้นจะเงินเยอะหรือก้าวหน้าอย่างไรก็ตาม ไม่คุ้มที่จะเอาสุขภาพของเราไปเสี่ยง เงินและความก้าวหน้าสำคัญมากก็จริงแต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับสุขภาพของเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเงินหรือความก้าวหน้า ก็ให้เลือกอันที่ทำแล้ว ไม่เครียดจนเกินไป
4.ความรู้และทักษะที่จะได้รับระหว่างการทำงาน
ลองพิจารณาดูว่า ตำแหน่งที่เราจะได้ทำ นอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว จะได้รับโอกาสเรียนรู้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ น่าสนใจ หรือสอดคล้องกับความต้องการของเราหรือไม่ หากเป็นงานที่ส่งเสริมให้โอกาสการเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มาก ก็จงอย่ารีรอ ให้รีบไปทำเลยครับ เพราะความรู้ ทักษะและประสบการณ์จะอยู่ติดตัวเราไปตลอด แม้ว่าเป็นงานที่ให้ค่าตอบแทนไม่สูงเมื่อเทียบกับงานอื่น แต่จะเป็นงานที่ให้คุณค่ากับผู้ทำได้มากมาย อย่าพยายามเลือกงานที่ต้องทำอะไรเดิมๆตลอดเวลา เพราะจะทำให้เราไม่พัฒนาและหยุดอยู่กับที่ค่ะ
5.ทีมงานคุณภาพและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
สุดท้ายไม่ว่าจะงานที่เงินดี หรืองานที่ก้าวหน้า ก็ต้องอาศัยผู้คนผลักดันทั้งนั้น คนที่จะให้คุณให้โทษได้ในการทำงาน ก็คือหัวหน้างานของคุณนั่นเองครับ งานที่เงินดีคงจะได้ปรับเงินเพียงเล็กน้อบ หากคุณได้เจอกับหัวหน้าที่วิสัยทัศน์ต่างกันและงานที่ก้าวหน้า น่าจะก้าวไปได้ช้ากว่าความเป็นจริง ถ้าหัวหน้างานไม่ได้ให้โอกาสพัฒนา นอกจากนี้ทืมงานคุณภาพที่แวดล้อมคุณก็สำคัญไม่แพ้กัน งานจะเดินไม่ได้หากขาดทีมเวิร์คที่ดี ดังนั้นให้พิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆในการทำงานด้วยครับ เพราะเงินและความก้าวหน้าอาจหาได้จากหลายที่ แต่ความเข้ากันได้ระหว่างคนในทีมไม่ได้หาง่ายๆ ถ้าหาเจอแล้ว ก็ควรจะอยู่นานๆ
ในโลกยุค 4.0 ที่หมุนเร็วนำหน้าเข็มนาฬิกาแบบนี้ เมื่อทำงานมาระยะเวลาประมาณหนึ่ง จนถึงขั้น Middle Career แล้ว ความรู้อาจไม่อัพเดต เพราะ Cycle ของยุคดิจิตอลสั้นกว่าเดิมมาก และมีเด็กๆคลื่นหลังที่เข้ามา Join Team จนเราแทบกลายเป็นวัตถุโบราณในออฟฟิสแต่อายุงานยังไม่ถึง 10 ปีเลยด้วยซ้ำ